วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ระบบหมุนเวียนโลหิต



ระบบหมุนเวียนโลหิตของคน
     ประกอบไปด้วย 
1.           หัวใจ ( Heart )
2.           หลอดเลือด ( Blood  Vessel )
3.           เลือด ( Blood )
1. หัวใจ ( Heart )  หัวใจของคนตั้งอยู่ในบริเวณทรวงอก ระหว่างปอดทั้งสองข้าง ค่อนไปทางซ้าย ภายในมีลักษณะ เป็นโพรงแบ่งออกเป็น 4 ห้อง  โดยแบ่งเป็นห้องบน ห้อง  เรียกว่า เอเตรียม ( Atrium ) ห้องล่าง 2 ห้อง เรียกว่า เวนตริเคิล ( Ventricle )  หัวใจห้องบนซ้ายและห้องล่างซ้ายมี
ลิ้นไบคัสปิด ( Bicuspid ) คั่นอยู่  ส่วนห้องบนขวาและล่างขวามีลิ้นไตรคัสปิด ( Tricuspid) คั่นอยู่ ซึ่งลิ้นทั้ง 2 ทำหน้าที่คอยเปิด-ปิด เพื่อไม่ให้ ้เลือด ไหลย้อนกลับ  หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดโดยการบีบตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจเป็นจังหวะ  ทำให้เลือดไหลไปตามหลอดเลือดต่าง ๆ

เราสามารถตรวจสอบการทำงานของหัวใจ  โดยการจับชีพจร
    อัตราการเต้นของชีพจรของคนในสภาพปกติอยู่ระหว่าง 60-80 ครั้งต่อนาที


 รูป  แสดง หัวใจคน และการหมุนเวียนของเลือดผ่านหัวใจ
2.  หลอดเลือด ( Blood  Vessel )  การหมุนเวียนของเลือดจากหัวใจไปและกลับจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายนั้นต้อง อาศัยหลอดเลือด ซึ่งมีอยู่ ทั่วร่างกาย  หลอดเลือดในร่างกายคนเราแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
                1.  หลอดเลือดอาร์เทอรี ( Arteries )  เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เลือดที่อยู่ในหลอดเลือดนี้เป็นเลือดที่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนมาก ยกเว้นเลือดที่ส่งไปยังปอด ซึ่งเป็นเลือดที่มีปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มาก หลอดเลือดอาร์เทอรีมีผนังหนาไม่มีลิ้นกั้น มีความแข็งแรง  เพื่อให้มีความทนทานต่อแรงดันเลือดที่ถูกฉีดออกจากหัวใจ
                2.  หลอดเลือดเวน ( Vein ) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่หัวใจ เลือดที่อยู่ในหลอดเลือดนี้เป็นเลือดที่มีปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สูง ยกเว้นเลือดที่นำจากปอดมายังหัวใจ จะเป็นเลือดที่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนสูง ภายในหลอดเลือดนี้จะมีลิ้นป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ   
                3.  หลอดเลือดฝอย ( Capillaries ) เป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กละเอียดเป็นฝอยติดต่ออยู่ระหว่างแขนงเล็ก ๆ ของหลอดเลือดอาร์เทอรีและหลอดเลือดเวน หลอดเลือดฝอยมีผนังบางมาก เป็นบริเวณที่มีการแลกเปลี่ยนสารอาหาร แก๊ส และสิ่งต่าง ๆ ระหว่างเลือดกับเซลล์ของร่างกาย
3 เลือด ( Blood ) ในร่างกายคนเรามีเลือดอยู่ประมาณร้อยละ 9-10 ของน้ำหนักตัว เลือดมีส่วนประกอบ  ที่สำคัญ 2 ส่วน คือ
1.  ส่วนที่เป็นของเหลว ซึ่งเรียกว่า น้ำเลือด หรือพลาสมา ( Plasma ) มีอยู่ประมาณร้อยละ55 ของปริมาณเลือดที่ไหลอยู่ในร่างกาย  ในน้ำเลือดประกอบด้วยน้ำ ร้อยละ 91 นอกนั้นเป็นสารอื่น ๆ ได้แก่ สารอาหารต่าง ๆ  เอนไซม์  ฮอร์โมน และแก๊ส รวมทั้งของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการ เช่น ยูเรีย แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์  เป็นต้น น้ำเลือดทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหาร  เอนไซม์ ฮอร์โมน และแก๊สกลับไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และลำเลียงของเสียต่าง ๆ มายังปอดเพื่อขับออกจากร่างกาย
2.  ส่วนที่เป็นของแข็ง ได้แก่ เซลล์เม็ดเลือด และเกล็ดเลือด ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 45 ของปริมาณเลือดทั้งหมด
     2.1  เซลล์เม็ดเลือดมีอยู่ 2 ชนิด คือ
            1) เซลล์เม็ดเลือดแดง ( Red Blood Cell ) มีรูปร่างค่อนข้างกลมแบน ตรงกลางบุ๋มเข้าหากัน เมื่อโตเต็มที่ไม่มีนิวเคลียส ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นสารประเภทโปรตีนที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน ซึ่งมีเหล็กเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ   ฮีโมโกลบิน มีสมบัต ิในการรวมตัว กับแก๊ส ออกซิเจน ได้ดีมาก  เซลล์เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ลำเลียงแก๊สออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และลำเลียงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปสู่ปอดเพื่อทำการแลกเปลี่ยนแก๊ส  เซลล์เม็ดเลือดแดงสร้างที่ไขกระดูก และเซลล์เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 110-120 วัน หลังจากนั้นจะถูกส่งไปทำลายที่ตับและม้าม
           2)  เซลล์เม็ดเลือดขาว ( White Blood cell ) มีรูปร่างกลม ขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง ไม่มีนิวเคลียส   เซลล์เม็ดเลือดขาว ในร่างกาย มีอยู่หลายชนิด ทำหน้าที่ต่อต้านและทำลาย เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม ที่เข้าสู่ร่างกาย   แหล่งที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวได้แก่ ม้าม ไขกระดูก และต่อมน้ำเหลือง  เซลล์เม็ดเลือดขาวมีอายุประมาณ 7-14 วัน ก็จะถูกทำลาย
    2.2  เกล็ดเลือด ( Blood Platelet ) เป็นส่วนประกอบของเลือดที่ไม่ใช่เซลล์ มีขนาดเล็กมาก ไม่มีสี ไม่มีนิวเคลียส ทำหน้าที่ช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเมื่อเลือดออกสู้ภายนอกร่างกาย และช่วยห้ามเลือดในกรณีที่เกิดบาดแผล โดยจับรวมตัวกันเป็นกระจุกร่างแหอุดรูของหลอดเลือดฝอยทำให้เลือดหยุดไหล แหล่งที่สร้างเก,ดเลือดได้แก่ ไขกระดูก เกล็ดเลือดมีอายุ 4 วันเท่านั้นก็จะถูกทำลาย


คำอธิบาย: http://upic.me/i/y1/circulatory3.jpg                    
วัคซีน  เป็นเชื้อโรคที่ตายหรืออ่อนฤทธิ์ ฉีดเข้าร่างกายเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านเชื้อโรคนั้น ๆ
        เซรุ่ม คือ  แอนติบอดีที่ได้จากคนหรืสัตว์ซึ่งการให้เซรุ่มจะให้กับร่างกายในกรณีที่โรคนั้นแสดงอาการอย่างรวดเร็วและรุนแรง ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไม่ทันและหรือไม่มีภูมิคุ้มกันมาก่อน
 การหมุนเวียนเลือดในร่างกาย


1.  เลือดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งเป็นเลือดที่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนต่ำ จะไหลกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา  (Right Atrium )
2.  เมื่อหัวใจบีบตัวเลือดจะไหลจากหัวใจห้องบนขวา ผ่านลิ้นหัวใจลงสู่ห้องล่างขวา ( Right  Ventricle )
3.  เมือหัวใจห้องล่างขวาบีบตัว เลือดจะไหลเข้าสู่หลอดเลือดไปยังปอด  เมื่อมีการแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สออกซิเจน เลือดที่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนสูงจะไหลกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย ( Left  Atrium )
4. เมื่อหัวใจห้องบนซ้ายบีบตัว เลือดจะไหลผ่านลิ้นหัวใจลงสู่ห้องล่างซ้าย(Left Ventricle )
5.  เมื่อหัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัว เลือดจะไหลเข้าสู่หลอดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และเมื่อเลือดมีปริมาณแก๊สออกซิเจนต่ำก็จะไหลกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนชวาเป็นเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป
                                      





ระบบการหมุนเวียนเลือด

            เมื่ออาหารถูกย่อยจนเล็กที่สุด แพร่เข้าสู่ผนังลำไส้เล็กและแพร่ผ่านเข้าสู่เส้นเลือดแล้วจะเคลื่อนที่ไปสู่
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายพร้อมกับเลือด
          ระบบการหมุนเวียนเลือด มีอวัยวะสำคัญที่เกี่ยวข้องได้แก่ หัวใจ เส้นเลือด และเลือด


                                   

          เลือด(Blood)  ประกอบด้วย น้ำเลือด หรือพลาสมา(Plasma) และเม็ดเลือดซึ่งประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง
เม็ดเลือดขาว และเซลล์เม็ดเลือดหรือเกล็ดเลือด
(Platelet)   เม็ดเลือดแดงมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นโปรตีน
และเหล็กมีชื่อเรียกว่า เฮโมโกลบิน ก๊าซออกซิเจน จะรวมตัวกับเฮโมโกลบินแล้วลำเลียงไปใช้ยังส่วนต่าง ๆ ของ
ร่างกาย
  เม็ดเลือดขาวซึ่งผลิตโดยม้าม* จะทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกาย  ส่วนเกล็ดเลือดจะเป็นตัวช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล
          น้ำเลือดประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 91 ที่เหลื่อเป็นสารอาหารต่าง ๆ เช่นโปรตีน  วิตามิน  แร่ธาตุ  เอนไซม์  และก๊าซ
          เส้นเลือด(Blood  Vessel) คือท่อที่เป็นทางให้เลือดไหลเวียนในร่างกายซึ่งมี 3 ระบบ คือเส้นเลือดแดง 
เส้นเลือดดำ และเส้นเลือดฝอย
          หัวใจ(Heart) ตั้งอยู่ในทรวงอกระหว่างปอดทั้งสองข้างเอียงไปทางซ้ายของแนวกลางตัว ประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงภายในมี 4 ห้อง
     -หัวในห้องบนซ้าย(Left atrium)       มีหน้าที่ รับเลือดที่ผ่านการฟอกที่ปอด
     -หัวใจห้องบนขวา(Right atrium)      มีหน้าที่ รับเลือดที่ร่างกายใช้แล้ว
     -หัวใจห้องล่างขวา(Right ventricle)  มีหน้าที่ สูบฉีดเลือดไปฟอกที่ปอด
     -หัวใจห้องล่างซ้าย(Left ventricle)   มีหน้าที่ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

     ระหว่างหัวใจซีกซ้ายและซีกขวามีผนังที่เหนียว หนา และแข็งแรงกั้นไว้ และระหว่างห้องหัวใจด้านบนและ
ด้านล่างของแต่ละซีก มีลิ้นของหัวใจคอยปิดกั้นมิให้เลือดไหลย้อนกลับ ดังนั้น การไหลเวียนของเลือดจึงเป็นการไหลไปในทางเดียวกันตลอด
  ซึ่ง วิลเลียม ฮาร์วีย์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นคนแรกที่ค้นพบการหมุนเวียน
ของเลือด และชี้ให้เห็นว่า เลือดมีการไหลเวียนไปทางเดียวกัน



ภาพจาก http://www.heartandcoeur.com/celebrity/page_harvey.php

     การไหลเวียนของเลือดเริ่มโดยห้องบนขวารับเลือดดำที่ร่างกายใช้แล้ว ส่งไปยังห้องล่างขวา  ห้องล่างขวาจะฉีดเลือดดำไปฟอกที่ปอด   ในขณะเดียวกัน เลือดแดงที่ผ่านการฟอกจากปอดจะเข้าสู่หัวใจทางห้องบนซ้ายแล้วส่งต่อมายังห้องล่างซ้าย  หัวใจก็จะฉีดเลือดแดงออกจากห้องล้างซ้ายเข้าสู่เส้นเลือดใหญ่  ซึ่งต่อมาก็แยกออกเป็นเส้นเลือดเล็ก และเส้นเลือดฝอย  เพื่อนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  เลือดที่ใช้แล้วก็จะไหลกลับมาที่หัวใจทางห้องบนขวาอีก  จะหมุนเวียนเช่นนี้ไปตลอดชีวิต เพื่อให้เห็นชัดเจนขอให้ดูแผนภาพต่อไปนี้


                                     
 
  ซึ่งเราสามารถสรุปเป็นหน้าที่ของระบบหมุนเวียนโลหิตได้ดังนี้
     1. นำอาหารและสารอื่น ๆ รวมทั้งออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ของร่างกาย
     2. นำคาร์บอนไดออกไซด์ไปขับออกทางปอดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนกลับมาใช้
     3. ขับถ่ายน้ำของเสียซึ่งเกิดจากเมตาโบลิซึมเพื่อขับออกภายนอกร่างกาย
     4. ช่วยควบคุมและรักษาดุลของสารน้ำภายในร่างกาย
     5. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ



     
ขณะหัวใจบีบตัวเลือดจะถูกดันออกไปตามหลอดเลือดจากหัวใจด้วยความดันสูงทำให้เลือดไปเลี้ยง
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ขณะที่หัวใจรับเลือดเข้าไปนั้นก็จะมีความดันน้อยที่สุด ความดันเลือดที่แพทย์วัดออกมาได้ซึ่งมีหน่วยเป็นมิลลิเมตรของปรอทจึงมีสองค่า
  เช่น 110/70 มิลลิเมตรของปรอท
     ตัวเลข   110 แสดงค่าของความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัวเพื่อดันเลือดออกจากหัวใจ
     ตัวเลข   70   แสดงค่าความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัวรับเลือดเข้าสู่หัวใจ

     ถ้าเราเอานิ้วมือจับที่ข้อมือด้านซ้าย  จะพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างเต้นตุ๊บ ๆ อยู่ภายใน  สิ่งนั้นเรียกว่า  ชีพจร
ชีพจรเป็นการหดตัวและขยายตัวของหลอดเลือดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ
  โดยคนหนุ่มสาวปกติชีพจรจะเต้นประมาณ 70 80  ครั้ง /นาที  ในวัยเด็กที่มีสภาพร่างการปกติชีพจรจะเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่  การออกกำลังกายก็มีผลต่ออัตราการเต้นของชีพจร  การออกกำลังกายทำให้ร่างกายต้องการพลังงานสูงขึ้นกว่าปกติ  จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอดมากขึ้น  การสูบฉีดเลือดจึงต้องสูงขึ้น  จะพบว่าชีพจรก็จะเต้นเร็วขึ้น  หัวใจสูบฉีดเลือดเร็วขึ้น 
จึงกล่าวได้ว่าการเต้นของชีพจรสัมพันธ์กับระบบหายใจและระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกาย
เครื่องมือที่ใช้ในการฟังการเต้นของชีพจรคือ สเตโทสโคป
  (stethoscope)
                                                 

คำอธิบาย: http://school.obec.go.th/msp/bullet.gifการปฏิบัติตนเพื่อดูแลรักษาอวัยวะภายในระบบ
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
2. อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์
3. พักผ่อนให้มาก เพราะการพักผ่อนนอนหลับจะทำให้หัวใจเต้นช้าลง
4. ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัย
5. ทำจิตใจให้แจ่มใสร่าเริง
  ไม่เครียด
6. งดเว้นจากสิ่งเสพติดทุกชนิด

*ม้าม(Spleen) มีหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดขาว และทำลายเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดที่หมดอายุ






 *ผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยด้วยนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น